วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เสี้ยวหนึ่งในมิติความรักของเรา

ได้เวลาอัพบทความใหม่ซะที อาจจะยาวหน่อย แต่ก้อความหมายดี
ไปดูกานเลย

เวลาใดก็ตามถ้าเราไม่แน่ใจในตัวเอง เกิดความสงสัยว่าในขณะนี้เรารักคนคนนี้อยู่หรือเปล่านั้น เราจะสามารถถามตัวเราเองด้วยคำถามง่ายๆเช่น

……

เมื่อเรารักใครก็ตามถ้าเป็นความรักที่แท้จริงแล้ว เราจะรู้สึกอยากให้เขามีความสุข เราจะรู้สึกอยากจะให้เขาได้พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ และอยากให้คนอื่นๆนั้นรักเขาเหมือนที่เรารัก

……

หากเราอยากรู้ว่าใครคนนั้นได้รักเราอย่างแท้จริงหรือไม่ เราจะสังเกตได้จากการกระทำโดยทั่วไปที่ไม่มีการเสแสร้งหรือแสดง เช่น เขาอยากให้เราได้กินอิ่มก่อนตัวเขาเองในยามที่ต่างก็หิวเป็นต้น กลับกันหากเราอยากให้ใครกินอิ่มก่อนเราแล้ว เขาคือคนที่เรารัก แม่ที่รักเราจะให้เรากินได้อิ่มก่อนตัวเองเสมอ เช่นเดียวกัน

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่าถ้าเรามีแฟนเราคงจะไม่มีใจไปรักใครที่ไหนได้อีก กาลครั้งนี้เราคิดว่าถึงเราจะมีแฟนที่เรารักแล้วเราก็ยังสามารถที่จะรักและจริงใจ กับคนทุกคนที่เรารู้จักได้

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยสงสัยในเหตุผลที่ ว่าที่พ่อตาถามว่าที่ลูกเขยว่าทำไมถึงคิดแต่งกับลูกสาวตน ว่าที่ลูกเขยตอบไปว่า her heart is gold หรือ หัวใจเธอเปรียบดังทอง เราเคยคิดว่าหัวใจทองคำนั้นเป็นอย่างไร ถ้าคนเราชอบที่จะคบกันที่จิตใจแล้ว เราจึงสงสัยว่าคนที่มีจิตใจที่ดีงามนั้นเป็นอย่างไร และเคยสงสัยว่าตัวเราเองนั้นจะสามารถพัฒนาจิตใจของตัวเองให้เป็นคนที่จิตใจดีงามบ้างได้หรือไม่

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าเราไม่ควรจะใช้คำว่ารักอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป กาลครั้งนี้สิ เรากลับมีความคิดว่าเราควรจะมอบและแบ่งปันความรักให้คนรอบข้างอย่างพร่ำเพรื่อ

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่า ความรักกับความใคร่นั้นเป็นสิ่งคู่กัน กาลครั้งนี้ เราคิดว่าแม้สองสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกันบ้างแต่เรายังสามารถแยกความแตกต่างได้ สิ่งที่ชัดเจนคือความใคร่เป็นความต้องการพื้นฐานที่ติดตัวมาแต่เกิดแต่ความรักหาได้เป็นเช่นนั้น ความใคร่อาจถือได้ว่าเป็นสัญชาติญาณ แต่ความรักนั้นไม่ใช่ และความใคร่เป็นความต้องการเป็นผู้รับ แต่ความรักนั้นเป็นความรู้ของผู้ให้ ถึงแม้ความรักจะไม่มีมาแต่เกิด แต่ความรักก็สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ โดยอาจเกิดจากการพัฒนาของจิตใจ และการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ความรักเป็นความรู้สึกที่วิเศษณ์ เพราะมีพื้นฐานมาจากการที่เราคำนึงและใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่น แทนที่เราจะเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่กระทำได้ง่าย แต่ความรักทำให้เรา สามารถแบ่งปันน้ำใจให้ผู้อื่นได้ ทำให้เราสามารถมีความปรารถนาดี มีความห่วงใย และอยากแบ่งปันความสุขคนที่เรารัก รวมทั้งยังทำให้เราสามารถเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ เพียงเพราะปรารถนาอยากให้คนเหล่านั้นมีความสุข และพบเจอสิ่งที่ดีงาม ดังนี้จึงอาจถือว่าความรักเป็นสิ่งอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับทั้งผู้ที่เป็นฝ่ายมอบความรักและผู้ที่ได้รับความรัก

……

เราสามารถมอบความรักที่แท้จริงให้ใครคนไหนสักกี่คนก็ได้อย่างเต็มที่โดยมิต้องเสียดายสิ่งใด เพราะทุกครั้งที่เรามอบควากรักที่บริสุทธิ์ให้กับใครก็ตาม จิตใจของเราจักเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข หากเรามอบรักให้ใครแล้วจิตใจกลับมีความทุกข์เจือปนอยู่แล้วล่ะก็ สิ่งที่เราได้ให้ไปนั้นยังมิใช่ความรักที่แท้จริง

……

ในชีวิตเรานั้น มีคนที่เรารักมากมาย ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อน ผู้ที่มีบุญคุณกับเราทั้งหลาย และคนที่เรารู้จักอีกมากมาย ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่รวมทั้งถ้าวันหนึ่งเรามีแฟน เราก็คงรักแฟนเราอีกเช่นกัน ในบุคคลที่กล่าวมาแล้วเหล่านี้เราไม่รู้หรอกว่าเรารักใครมากกว่ากัน ไม่รู้ว่าเรารักใครมากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ เรารู้เพียงแต่ ไม่ว่าเราจะรักใคร เราก็จะรักอย่างเต็มที่ เรารู้เพียงแต่ ทุกคนที่เรารักนั้นต่างก็เป็นคนที่เรารักมากมาย และหากมีสิ่งไม่ดีเกิดกับบุคคลที่เรารักให้ต้องไม่สบายใจ หรือหากเกิดเป็นอะไรไปไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเราก็คงต้องเสียใจไม่ต่างกัน

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าคนที่เรารักจักต้องรักเราคนเดียว ตอนเด็กเราเคยคิดว่าพ่อกับแม่จะต้องรักเราไม่น้อยกว่าใครแม้แต่พี่น้องของเราเอง ถึงแม้เราจะทำตัวไม่ดีอย่างไรแต่ก็ไม่ต้องการให้ พ่อและแม่รักพี่ชายของเรามากกว่ารักเรา เราเคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเรามีแฟน เราคงอยากให้เธอรักเราคนเดียวไม่ไปรักใครคนอื่นอีก หากแฟนเราไปเดินกับผู้ชายคนอื่น เราคงหึงหวงและคงไม่ชอบแน่ๆรวมทั้งคงรู้สึกไม่ดีอย่างมาก กาลครั้งนี้ เราสามารถจะรักโดยปราศจากเงื่อนไข ปราศจากความหึงหวง และไม่ได้คิดว่าตัวเรานั้นเป็นเจ้าของคนที่เรารักเลย เขาก็ยังมีชีวิตเป็นของเขาเอง สามารถทำสิ่งใดๆก็ที่ใจเขาอยากจะทำ เขาจะรักใครอีกสักกี่คนก็เป็น เรื่องธรรมดา และเป็นสิ่งที่เรารู้สึกยินดี คนที่เขารักอาจเป็นพ่อแม่ของเขาเองหรือญาติพี่น้องหรือเป็นแฟน หรือบุคคลใดที่เขารู้จักและถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งของก็ตาม หากเป็นสิ่งที่เขารักเราจะรักบุคคลหรือสิ่งเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเชื่อว่าการเป็นคนเจ้าชู้ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี กาลครั้งนี้ เราคิดว่าเจ้าชู้นั้นมีหลายแบบทั้งที่ ดีบ้างและไม่ดีบ้างแตกต่างกันออกไป แบบที่เราคิดว่าไม่ดีที่สุดนั้น คือเจ้าชู้แบบพร่าผู้หญิง หรือพูดง่ายๆ ว่าพวกฟันแล้วทิ้ง มีผู้เคยกล่าวว่ามีผู้ชายไม่น้อย ที่ขาดศีลธรรม ชอบพร่าผู้หญิงไม่เลือก เมื่อพบใครก็พูดจาเกี้ยวพาราสีจนตายใจ ก็จะพร่าผู้หญิงคนนั้นแล้วทอดทิ้งไป หรือถ้าไม่ทอดทิ้งก็จะหาประโยชน์คอยหาประโยชน์อยู่นั่นเอง เมื่อพบคนใหม่จะทำเช่นนี้เรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดตามความพอใจและโอกาส เป็นการผิดศีลธรรมและมนุษยธรรมอย่างมาก หากเป็นญาติพี่น้องหรือลูกหลานเราถูกรังแกถูกพร่าบ้างเราจะรู้สึกอย่างไร ยิ่งถ้าท้องหรือมีลูกขึ้นมา แล้วการถูกทอดทิ้งจะยิ่งทรมานจิตใจ และเป็นการประจาน ผู้หญิงคนอาจจะไม่อยากเข้าบ้าน ต้องซัดเซพเนจรยังความอับอายขายหน้าเป็นอันมาก ต้องทุกข์ใจ และประสพกับความยากลำบากสาหัส ต้องได้รับความพึงรังเกียจจาก ญาติพี่น้องมิตรสหายและสังคม หากผู้หญิงคนนั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งก็โชคดี แต่ถ้าไม่แล้ว อาจต้องกลายไปเป็นผู้หญิงหากิน หรือค่าตัวตาย ทำแท้ง และเป็นปัญหาสังคม เราซึ่งเป็นผู้ที่ก่อกรรมจะต้องเป็นผู้รับบาปอย่างมหันต์ ถ้าใครรู้ก็ตำหนิและเป็นที่รังเกียจจากสังคมที่ดี เป็นที่รังเกียจของผู้หญิงดีๆ ไม่มีใครอยากรู้จักติดต่อคบหา ต้องเสียเกียรติ อนาคตหมองมัว การเจ้าชู้พร่าผู้หญิงจึงเป็นการกระทำที่เลว เป็นกรรมอันชั่วช้า สำหรับเราคิดว่าแม้จะมีเป็นส่วนน้อยแต่ก็พบเห็นได้ทั่วไปในสังคม เป็นการกระทำที่ปราศจากความรักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าถ้าเรามีแฟนแล้วต้องเลิกกัน เราคงเสียใจ อกหัก คงจะเลิกรักกันและคงจะไม่อยากเจอะเจอเห็นหน้าพูดคุยกันอีก กาลครั้งนี้นั้นเราคิดว่าหากเรารักใครแล้วคงจะไม่วันที่จะเลิกรักได้ คนที่เรารักไม่จำเป็นจะต้องเป็นกับแฟนกับเราเสมอไป หรือหากคบกันกับเราเป็นแฟนแล้ว แฟนเราจะยังรักใครอีกก็ได้ หากวันหนึ่งต้องเลิกความสัมพันธ์การเป็นแฟนกันไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ก็คงจะยังรักกันเหมือนเดิมไม่ ไม่ต้องรู้สึกอกหัก และไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ เราจะยังคงอยากพบเจอทักทายพูดคุยกันอีกไม่ต่างจากเดิม หากคนที่เรารักจะมีแฟนหรือแต่งงานหรือมีสิ่งใดที่เป็นเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตเขาก็ตาม เราคงจะยินดีและดีใจด้วยกับเขาเป็นอย่างยิ่ง

……

กาลครั้งหนึ่ง เราอยากมีแฟน เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรจะมีคนมารักเข้าใจเราเสียที เราเที่ยวไขว่คว้า เที่ยวเสาะหา ทั้งความรักและคนๆนั้นอยู่เรื่อยมา เราเที่ยวเสาะหาความรักอยู่นานแสนนาน พร้อมทั้งสงสัยในความหมายว่าความรักคืออะไรทำไมจึงมีหลากหลายนิยาม เคยมีผู้รู้เคยพูดว่า เรื่องแบบนี้เมื่อถึงเวลาแล้วเดี๋ยวก็มาเอง แต่เราก็ยังไม่เข้าใจและยังสงสัยว่า เมื่อไรจะถึงเวลา เมื่อไรจะมาเสียที กาลครั้งนี้ เราก็ยังคงอยากจะมีแฟนอยู่เหมือนเดิม แต่ เราเข้าใจคำพูดของเพื่อนเราที่ว่าเขาไม่มีความคิดนี้มาหลายปีแล้ว เราเข้าใจแล้วว่าเมื่อถึงเวลาก็มาเองหมายความว่าอย่างไร เราเลิกวิ่งเสาะหาความรักและไม่สงสัยหรือสนใจว่าความรักคืออะไร ตอนนี้เราคิดเพียงจะจริงใจและมอบความรักให้คนทุกคนเท่านั้นเอง

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยได้ยินว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่สวยงาม ยามใดที่มีความรักเราจะมีแต่ความสุขโลกก็เป็นแต่สีชมพู แต่มันก็มักจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นสักพัก เวลาก็มักจะทำให้ บางสิ่งบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลง อยู่เสมอๆ กาลครั้งนี้เรา ได้รู้จักความรักที่อยู่เหนือการเวลา ที่ไม่มีสิ่งใดๆเปลี่ยนแปลงได้ แม้เราจะเคยได้ยินว่าความรักนั้นสวยงาม แต่วันหนึ่งเราก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในความงามของความรัก ว่าเป็นสิ่งที่ดี และมีคุณค่ายิ่งเพียงใด ได้มีโอกาสรับรู้ว่าความรักนั้นวิเศษณ์เพียงใด แค่นั่งพิมพ์ในตอนนี้เราก็มีความสุขแล้ว
แต่กว่าจะมีวันนี้ กว่าจะเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของความรัก กว่าจะมีวันที่เราจะรู้จักความรักที่แท้จริง กว่าจะมีวันที่เราสามารถมอบความรักที่บริสุทธิ์ ให้แก่ผู้อื่นได้นั้น เวลาก็ผ่านล่วงเลยจนเกือบถึง 1 ใน 3 ของชีวิต แต่เราก็ไม่ได้เสียดายเวลาที่ผ่านมาที่ใช้ไปในการเรียนรู้และลองผิดลองถูกเลย อย่างน้อยเราก็สามารถค้นพบอีกหลายสิ่งเช่น จากที่เราเคยรู้เพียงว่าความรักนั้นสวยงาม มาตอนนี้เรายิ่งเข้าใจซึ้งในความสวยงามนั้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และพบว่าการเรียนรู้ไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่วันหนึ่งหรือสองวัน แต่ในแต่ละวันที่ผ่านไปเราจะต้องพัฒนาความคิด ความรัก และจิตใจ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ หรืออย่างน้อย ก็ไม่ให้ลดน้อยถอยลงกว่าเดิม

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยอยากให้คนที่เรารักเป็นแฟนกับเรา กาลครั้งนี้ เราคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งคัญกับการที่คนที่เรารักทุกคนต้องมาเป็นแฟนเรา ลางที เราอยากให้คนที่เรารักมีแฟนเป็นคนที่มีสิ่งต่างๆ ดีกว่าเราด้วยซ้ำไป เราอยากให้คนนั้นเป็นคนที่เอาใจใส่คนที่เรารัก เราอยากให้คนนั้นเป็นคนมีเวลาให้คนที่เรารักมากกว่าเรา เราอยากให้คนนั้นมีความรักที่แท้จริง ไม่หวังสิ่งตอบแทนเหมือนที่เรารัก

……

หากเปรียบกับชีวิตของคน ยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่ ก็คงเปรียบได้กับฤดู .. คงเป็นฤดูที่แสนสดใส แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดที่ใจเจ็บจนทุกข์ ดังพายุที่โหมเข้าใส่ บอกกับตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกข์ฤดู อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจางฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ

……

ถ้าฉันรู้ว่ารักมันงดงามมากอย่างนี้ หากได้รู้ก็คงไม่ปล่อยมานาน จะรีบไขว่คว้าตั้งแต่ครั้งเมื่อวันวาน ไม่ยอมจะผ่านไม่ยอมจะปล่อยให้มันหลุดลอย มาวันนี้นี้เมื้อฉันได้พบมัน จึงได้รู้ว่าความรักนี้ช่างวิเศษเพียงใด จะคอยรักษาดูแลรักนี้เรื่อยไป ไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำร้าย

……



Credit By : http://writer.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=234872&chapter=2

2 ความคิดเห็น: