วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

StreeBall

อยากเล่รเป็นกับเค้าบ้าง

เทพจิงๆ

ทำไมแดงจึงเผาบ้านเผาเมือง


ท่านเห็นการเผาบ้านเผาเมืองของผู้หลงผิดไหม๊ครับ ทำไมถึงเผาตึกเหล่านั้น เป็นที่พอเข้าใจได้ เช่น Central world, Siam Center,Siam paragonธนาคารกรุงเทพฯหรืออื่นๆแถวนั้นคือความรู้สึกที่แกนนำ นำไปด่าบนเวที เชื่อมโยงถึงในแง่อคติทั้งสิ้นเช่นเรื่องช่องว่างของชนชั้น ที่ชุมนุมเปิดให้ดูทีวีช่องไหน การเชื่อมโยงกับอำมาตย์ที่เขาอ้าง ผู้หลงผิดพวกนี้ขาดการศึกษา ไม่รู้จักแยกแยะ เชื่อทุกอย่างที่แกนนำปลุกปั่นบนเวที จนเกิดฝั่งใจ ย้ำคิดย้ำทำ สิ่งนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดทั่วประเทศจากการเปิดให้มีวิทยุชุมชนเสรี โดยขาดการควบคลุม เกิดการปลุกปั่นใช้เป็นประโยชน์แก่นักการเมืองเลว และนักค้าขายชั่ว(อย่างป้าเช็ง ฯลฯ) โดยอาศัยความอ่อนแอของสังคม ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องมาแก้ที่ต้นเหตุในระยะยาว การศึกษาที่บางส่วนมีปัญหาอยู่โดยเฉพาะระบบที่เกิดจากการปรับโครงสร้างที่ผ่านมาโดยไม่ได้ปรับจิตใจคนในระบบ(ปฎิรูปแต่การเพิ่มซี เพิ่มตำแหน่ง แต่ไม่ปฏิรูปคน ซึ่งเป็นตัวจักรหรือปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการปฏิรูป) การควบคลุมคลื่นความถี่วิทยุ โทรทัศน์ทั้งระบบซึ่งเปิดเสรีโดยไม่ดูบริบทของคนในสังคมไทย ที่ยังขาดการศึกษา ขาดการสอนให้รู้จักการคิดวิเคราะห์ การรู้ผิดชอบชั่วดี(แต่ตามแบบประเทศอื่นๆที่ไปดูงานหรือจำขี้ปากเขามา แล้วก็มานั่งเขียนออกมาเป็นกฎหมาย โดยผู้เขียนกฎหมายหวังเพียงจะนำคลื่นความถี่มาสร้างมูลค่าหรือมารับใช้หาประโยชน์ทางการเมือง แล้วอ้างอย่างสวยหรู ว่าเป็นประชาธิปไตย โดยขาดการมองอย่างรอบคอบ รอบด้าน เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) การสร้างจิตสำนึกหรือจิตสาธารณะของคนในชาติโดยรวม รวมถึงการนำวิชาหน้าที่พลเมือง-ศีลธรรมที่เป็นหลักพื้นฐานของความเป็น"คน"กลับมาสอนในหลักสูตรอย่างจริงจัง

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เสี้ยวหนึ่งในมิติความรักของเรา

ได้เวลาอัพบทความใหม่ซะที อาจจะยาวหน่อย แต่ก้อความหมายดี
ไปดูกานเลย

เวลาใดก็ตามถ้าเราไม่แน่ใจในตัวเอง เกิดความสงสัยว่าในขณะนี้เรารักคนคนนี้อยู่หรือเปล่านั้น เราจะสามารถถามตัวเราเองด้วยคำถามง่ายๆเช่น

……

เมื่อเรารักใครก็ตามถ้าเป็นความรักที่แท้จริงแล้ว เราจะรู้สึกอยากให้เขามีความสุข เราจะรู้สึกอยากจะให้เขาได้พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ และอยากให้คนอื่นๆนั้นรักเขาเหมือนที่เรารัก

……

หากเราอยากรู้ว่าใครคนนั้นได้รักเราอย่างแท้จริงหรือไม่ เราจะสังเกตได้จากการกระทำโดยทั่วไปที่ไม่มีการเสแสร้งหรือแสดง เช่น เขาอยากให้เราได้กินอิ่มก่อนตัวเขาเองในยามที่ต่างก็หิวเป็นต้น กลับกันหากเราอยากให้ใครกินอิ่มก่อนเราแล้ว เขาคือคนที่เรารัก แม่ที่รักเราจะให้เรากินได้อิ่มก่อนตัวเองเสมอ เช่นเดียวกัน

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่าถ้าเรามีแฟนเราคงจะไม่มีใจไปรักใครที่ไหนได้อีก กาลครั้งนี้เราคิดว่าถึงเราจะมีแฟนที่เรารักแล้วเราก็ยังสามารถที่จะรักและจริงใจ กับคนทุกคนที่เรารู้จักได้

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยสงสัยในเหตุผลที่ ว่าที่พ่อตาถามว่าที่ลูกเขยว่าทำไมถึงคิดแต่งกับลูกสาวตน ว่าที่ลูกเขยตอบไปว่า her heart is gold หรือ หัวใจเธอเปรียบดังทอง เราเคยคิดว่าหัวใจทองคำนั้นเป็นอย่างไร ถ้าคนเราชอบที่จะคบกันที่จิตใจแล้ว เราจึงสงสัยว่าคนที่มีจิตใจที่ดีงามนั้นเป็นอย่างไร และเคยสงสัยว่าตัวเราเองนั้นจะสามารถพัฒนาจิตใจของตัวเองให้เป็นคนที่จิตใจดีงามบ้างได้หรือไม่

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าเราไม่ควรจะใช้คำว่ารักอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป กาลครั้งนี้สิ เรากลับมีความคิดว่าเราควรจะมอบและแบ่งปันความรักให้คนรอบข้างอย่างพร่ำเพรื่อ

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่า ความรักกับความใคร่นั้นเป็นสิ่งคู่กัน กาลครั้งนี้ เราคิดว่าแม้สองสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกันบ้างแต่เรายังสามารถแยกความแตกต่างได้ สิ่งที่ชัดเจนคือความใคร่เป็นความต้องการพื้นฐานที่ติดตัวมาแต่เกิดแต่ความรักหาได้เป็นเช่นนั้น ความใคร่อาจถือได้ว่าเป็นสัญชาติญาณ แต่ความรักนั้นไม่ใช่ และความใคร่เป็นความต้องการเป็นผู้รับ แต่ความรักนั้นเป็นความรู้ของผู้ให้ ถึงแม้ความรักจะไม่มีมาแต่เกิด แต่ความรักก็สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ โดยอาจเกิดจากการพัฒนาของจิตใจ และการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ความรักเป็นความรู้สึกที่วิเศษณ์ เพราะมีพื้นฐานมาจากการที่เราคำนึงและใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่น แทนที่เราจะเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่กระทำได้ง่าย แต่ความรักทำให้เรา สามารถแบ่งปันน้ำใจให้ผู้อื่นได้ ทำให้เราสามารถมีความปรารถนาดี มีความห่วงใย และอยากแบ่งปันความสุขคนที่เรารัก รวมทั้งยังทำให้เราสามารถเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ เพียงเพราะปรารถนาอยากให้คนเหล่านั้นมีความสุข และพบเจอสิ่งที่ดีงาม ดังนี้จึงอาจถือว่าความรักเป็นสิ่งอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับทั้งผู้ที่เป็นฝ่ายมอบความรักและผู้ที่ได้รับความรัก

……

เราสามารถมอบความรักที่แท้จริงให้ใครคนไหนสักกี่คนก็ได้อย่างเต็มที่โดยมิต้องเสียดายสิ่งใด เพราะทุกครั้งที่เรามอบควากรักที่บริสุทธิ์ให้กับใครก็ตาม จิตใจของเราจักเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข หากเรามอบรักให้ใครแล้วจิตใจกลับมีความทุกข์เจือปนอยู่แล้วล่ะก็ สิ่งที่เราได้ให้ไปนั้นยังมิใช่ความรักที่แท้จริง

……

ในชีวิตเรานั้น มีคนที่เรารักมากมาย ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อน ผู้ที่มีบุญคุณกับเราทั้งหลาย และคนที่เรารู้จักอีกมากมาย ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่รวมทั้งถ้าวันหนึ่งเรามีแฟน เราก็คงรักแฟนเราอีกเช่นกัน ในบุคคลที่กล่าวมาแล้วเหล่านี้เราไม่รู้หรอกว่าเรารักใครมากกว่ากัน ไม่รู้ว่าเรารักใครมากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ เรารู้เพียงแต่ ไม่ว่าเราจะรักใคร เราก็จะรักอย่างเต็มที่ เรารู้เพียงแต่ ทุกคนที่เรารักนั้นต่างก็เป็นคนที่เรารักมากมาย และหากมีสิ่งไม่ดีเกิดกับบุคคลที่เรารักให้ต้องไม่สบายใจ หรือหากเกิดเป็นอะไรไปไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเราก็คงต้องเสียใจไม่ต่างกัน

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าคนที่เรารักจักต้องรักเราคนเดียว ตอนเด็กเราเคยคิดว่าพ่อกับแม่จะต้องรักเราไม่น้อยกว่าใครแม้แต่พี่น้องของเราเอง ถึงแม้เราจะทำตัวไม่ดีอย่างไรแต่ก็ไม่ต้องการให้ พ่อและแม่รักพี่ชายของเรามากกว่ารักเรา เราเคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเรามีแฟน เราคงอยากให้เธอรักเราคนเดียวไม่ไปรักใครคนอื่นอีก หากแฟนเราไปเดินกับผู้ชายคนอื่น เราคงหึงหวงและคงไม่ชอบแน่ๆรวมทั้งคงรู้สึกไม่ดีอย่างมาก กาลครั้งนี้ เราสามารถจะรักโดยปราศจากเงื่อนไข ปราศจากความหึงหวง และไม่ได้คิดว่าตัวเรานั้นเป็นเจ้าของคนที่เรารักเลย เขาก็ยังมีชีวิตเป็นของเขาเอง สามารถทำสิ่งใดๆก็ที่ใจเขาอยากจะทำ เขาจะรักใครอีกสักกี่คนก็เป็น เรื่องธรรมดา และเป็นสิ่งที่เรารู้สึกยินดี คนที่เขารักอาจเป็นพ่อแม่ของเขาเองหรือญาติพี่น้องหรือเป็นแฟน หรือบุคคลใดที่เขารู้จักและถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งของก็ตาม หากเป็นสิ่งที่เขารักเราจะรักบุคคลหรือสิ่งเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเชื่อว่าการเป็นคนเจ้าชู้ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี กาลครั้งนี้ เราคิดว่าเจ้าชู้นั้นมีหลายแบบทั้งที่ ดีบ้างและไม่ดีบ้างแตกต่างกันออกไป แบบที่เราคิดว่าไม่ดีที่สุดนั้น คือเจ้าชู้แบบพร่าผู้หญิง หรือพูดง่ายๆ ว่าพวกฟันแล้วทิ้ง มีผู้เคยกล่าวว่ามีผู้ชายไม่น้อย ที่ขาดศีลธรรม ชอบพร่าผู้หญิงไม่เลือก เมื่อพบใครก็พูดจาเกี้ยวพาราสีจนตายใจ ก็จะพร่าผู้หญิงคนนั้นแล้วทอดทิ้งไป หรือถ้าไม่ทอดทิ้งก็จะหาประโยชน์คอยหาประโยชน์อยู่นั่นเอง เมื่อพบคนใหม่จะทำเช่นนี้เรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดตามความพอใจและโอกาส เป็นการผิดศีลธรรมและมนุษยธรรมอย่างมาก หากเป็นญาติพี่น้องหรือลูกหลานเราถูกรังแกถูกพร่าบ้างเราจะรู้สึกอย่างไร ยิ่งถ้าท้องหรือมีลูกขึ้นมา แล้วการถูกทอดทิ้งจะยิ่งทรมานจิตใจ และเป็นการประจาน ผู้หญิงคนอาจจะไม่อยากเข้าบ้าน ต้องซัดเซพเนจรยังความอับอายขายหน้าเป็นอันมาก ต้องทุกข์ใจ และประสพกับความยากลำบากสาหัส ต้องได้รับความพึงรังเกียจจาก ญาติพี่น้องมิตรสหายและสังคม หากผู้หญิงคนนั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งก็โชคดี แต่ถ้าไม่แล้ว อาจต้องกลายไปเป็นผู้หญิงหากิน หรือค่าตัวตาย ทำแท้ง และเป็นปัญหาสังคม เราซึ่งเป็นผู้ที่ก่อกรรมจะต้องเป็นผู้รับบาปอย่างมหันต์ ถ้าใครรู้ก็ตำหนิและเป็นที่รังเกียจจากสังคมที่ดี เป็นที่รังเกียจของผู้หญิงดีๆ ไม่มีใครอยากรู้จักติดต่อคบหา ต้องเสียเกียรติ อนาคตหมองมัว การเจ้าชู้พร่าผู้หญิงจึงเป็นการกระทำที่เลว เป็นกรรมอันชั่วช้า สำหรับเราคิดว่าแม้จะมีเป็นส่วนน้อยแต่ก็พบเห็นได้ทั่วไปในสังคม เป็นการกระทำที่ปราศจากความรักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยคิดว่าถ้าเรามีแฟนแล้วต้องเลิกกัน เราคงเสียใจ อกหัก คงจะเลิกรักกันและคงจะไม่อยากเจอะเจอเห็นหน้าพูดคุยกันอีก กาลครั้งนี้นั้นเราคิดว่าหากเรารักใครแล้วคงจะไม่วันที่จะเลิกรักได้ คนที่เรารักไม่จำเป็นจะต้องเป็นกับแฟนกับเราเสมอไป หรือหากคบกันกับเราเป็นแฟนแล้ว แฟนเราจะยังรักใครอีกก็ได้ หากวันหนึ่งต้องเลิกความสัมพันธ์การเป็นแฟนกันไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ก็คงจะยังรักกันเหมือนเดิมไม่ ไม่ต้องรู้สึกอกหัก และไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ เราจะยังคงอยากพบเจอทักทายพูดคุยกันอีกไม่ต่างจากเดิม หากคนที่เรารักจะมีแฟนหรือแต่งงานหรือมีสิ่งใดที่เป็นเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตเขาก็ตาม เราคงจะยินดีและดีใจด้วยกับเขาเป็นอย่างยิ่ง

……

กาลครั้งหนึ่ง เราอยากมีแฟน เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรจะมีคนมารักเข้าใจเราเสียที เราเที่ยวไขว่คว้า เที่ยวเสาะหา ทั้งความรักและคนๆนั้นอยู่เรื่อยมา เราเที่ยวเสาะหาความรักอยู่นานแสนนาน พร้อมทั้งสงสัยในความหมายว่าความรักคืออะไรทำไมจึงมีหลากหลายนิยาม เคยมีผู้รู้เคยพูดว่า เรื่องแบบนี้เมื่อถึงเวลาแล้วเดี๋ยวก็มาเอง แต่เราก็ยังไม่เข้าใจและยังสงสัยว่า เมื่อไรจะถึงเวลา เมื่อไรจะมาเสียที กาลครั้งนี้ เราก็ยังคงอยากจะมีแฟนอยู่เหมือนเดิม แต่ เราเข้าใจคำพูดของเพื่อนเราที่ว่าเขาไม่มีความคิดนี้มาหลายปีแล้ว เราเข้าใจแล้วว่าเมื่อถึงเวลาก็มาเองหมายความว่าอย่างไร เราเลิกวิ่งเสาะหาความรักและไม่สงสัยหรือสนใจว่าความรักคืออะไร ตอนนี้เราคิดเพียงจะจริงใจและมอบความรักให้คนทุกคนเท่านั้นเอง

……

กาลครั้งหนึ่งเราเคยได้ยินว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่สวยงาม ยามใดที่มีความรักเราจะมีแต่ความสุขโลกก็เป็นแต่สีชมพู แต่มันก็มักจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นสักพัก เวลาก็มักจะทำให้ บางสิ่งบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลง อยู่เสมอๆ กาลครั้งนี้เรา ได้รู้จักความรักที่อยู่เหนือการเวลา ที่ไม่มีสิ่งใดๆเปลี่ยนแปลงได้ แม้เราจะเคยได้ยินว่าความรักนั้นสวยงาม แต่วันหนึ่งเราก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในความงามของความรัก ว่าเป็นสิ่งที่ดี และมีคุณค่ายิ่งเพียงใด ได้มีโอกาสรับรู้ว่าความรักนั้นวิเศษณ์เพียงใด แค่นั่งพิมพ์ในตอนนี้เราก็มีความสุขแล้ว
แต่กว่าจะมีวันนี้ กว่าจะเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของความรัก กว่าจะมีวันที่เราจะรู้จักความรักที่แท้จริง กว่าจะมีวันที่เราสามารถมอบความรักที่บริสุทธิ์ ให้แก่ผู้อื่นได้นั้น เวลาก็ผ่านล่วงเลยจนเกือบถึง 1 ใน 3 ของชีวิต แต่เราก็ไม่ได้เสียดายเวลาที่ผ่านมาที่ใช้ไปในการเรียนรู้และลองผิดลองถูกเลย อย่างน้อยเราก็สามารถค้นพบอีกหลายสิ่งเช่น จากที่เราเคยรู้เพียงว่าความรักนั้นสวยงาม มาตอนนี้เรายิ่งเข้าใจซึ้งในความสวยงามนั้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และพบว่าการเรียนรู้ไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่วันหนึ่งหรือสองวัน แต่ในแต่ละวันที่ผ่านไปเราจะต้องพัฒนาความคิด ความรัก และจิตใจ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ หรืออย่างน้อย ก็ไม่ให้ลดน้อยถอยลงกว่าเดิม

……

กาลครั้งหนึ่ง เราเคยอยากให้คนที่เรารักเป็นแฟนกับเรา กาลครั้งนี้ เราคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งคัญกับการที่คนที่เรารักทุกคนต้องมาเป็นแฟนเรา ลางที เราอยากให้คนที่เรารักมีแฟนเป็นคนที่มีสิ่งต่างๆ ดีกว่าเราด้วยซ้ำไป เราอยากให้คนนั้นเป็นคนที่เอาใจใส่คนที่เรารัก เราอยากให้คนนั้นเป็นคนมีเวลาให้คนที่เรารักมากกว่าเรา เราอยากให้คนนั้นมีความรักที่แท้จริง ไม่หวังสิ่งตอบแทนเหมือนที่เรารัก

……

หากเปรียบกับชีวิตของคน ยามสุขล้นจนใจมันยั้งไม่อยู่ ก็คงเปรียบได้กับฤดู .. คงเป็นฤดูที่แสนสดใส แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดที่ใจเจ็บจนทุกข์ ดังพายุที่โหมเข้าใส่ บอกกับตัวเองเอาไว้ ความเจ็บต้องมีวันหาย ไม่ต่างอะไรที่เราต้องเจอทุกข์ฤดู อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจางฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ

……

ถ้าฉันรู้ว่ารักมันงดงามมากอย่างนี้ หากได้รู้ก็คงไม่ปล่อยมานาน จะรีบไขว่คว้าตั้งแต่ครั้งเมื่อวันวาน ไม่ยอมจะผ่านไม่ยอมจะปล่อยให้มันหลุดลอย มาวันนี้นี้เมื้อฉันได้พบมัน จึงได้รู้ว่าความรักนี้ช่างวิเศษเพียงใด จะคอยรักษาดูแลรักนี้เรื่อยไป ไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำร้าย

……



Credit By : http://writer.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=234872&chapter=2

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนทางสู่ความสำเร็จ

ไม่มีใครนิยมชมชอบความล้มเหลวสักราย นอกจากหมดอาลัยตายอยากจริงๆ ทว่าเพิ่งขึ้นต้นเถลิงศกใหม่ทั้งที จะห่อเหี่ย ใจไปทำไม หากตกงานก็ให้มองในแง่ดีว่า อีกไม่นานเราจะได้งานทำ ตั้งมั่นอย่างนี้ สักวันจะสมความปรารถนา ไม่ได้ล้อเล่นนะ พูดจริงๆเหตุนี้ จึงขอหันมาเล่าเรื่อง The Winner's Guide to Success ผู้ชนะแนะวิธีสู่ความสำเร็จในนิตยสาร รีเดอร์'ส ไดเจ็ท ดีกว่าเพราะอย่านึกนะว่า ทุกคนจะประสบความสำเร็จกันง่ายๆ ทำความดียากกว่า สร้างความเลวซะอีก คนดีๆ จึงอยู่ในสังคมลำบากกว่าไงจ๊ะ ไมเคิล เจฟฟรีย์ อารัมภบทในเชิงถามว่า รู้ไหมว่า คนที่ประสบความสำเร็จคิดอย่างไร? หรืออะไรเป็นแรงผลักดันพวกเขา? ดังนั้น เพื่อที่จะได้คำตอบเหล่านี้ หนุ่มเจฟฟรีย์ จึงดิ้นรนไปสอบถามความคิดเห็น จากตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จ ในหลายสาขาอาชีพ แล้วนำมายำรวมกันกลายเป็นแรงจูงใจ 7 ประการดังนี้
1. บอกกับตัวเองว่า อนาคตขึ้นอยู่กับความคิด และการกระทำของคุณเอง ไม่ต้องไปรอให้ชะตากำหนดหรือฟ้าลิขิต และยิ่งจะดีขึ้นอีก ถ้าไม่ต้องไปฟังใคร โดยเฉพาะพวกที่ชอบดูถูกดูหมิ่นเราว่า ไม่มีทางทำอย่างนี้ได้หรืออย่างนั้นได้ ใครจะไปรู้จักเราจริง พวกนี้มีปากก็พูดได้ทุกอย่าง แต่ไม่จริงเสมอไปจำไว้เลย เว้นแต่ใจของคนฟังไม่เข้มแข็งพอ คุณก็จะเป็นอย่างที่เขาบอก
2. วางเป้าหมายให้ชีวิต เช่น จะทำงานอะไร หรือมีชีวิตคู่อย่างไร ใช้สติกำหนดไว้แต่เนิ่นๆ
3. เมื่อมีเป้าหมายก็ต้อง มีการวางแผน ทำอย่างไรถึงจะได้ดั่งใจ ขอเพียงอย่าเขียนแผนมั่วเป็นใช้ได้
4. อย่าจับเสือมือเปล่า หมายถึง ต้องยอมลงทุนบ้าง เพื่อให้ได้ความสำเร็จนั้นมา ยกตัวอย่าง หากอยากเป็นหมอหรืออะไรก็แล้วแต่ ควรลงแรงและลงสมอง ใส่ใจศึกษาหาความรู้ด้วย ถ้าอยู่เฉยๆ จะเอ็นทรานซ์ติด คณะที่เราชอบได้ไง เช่นเดียวกับถ้าไม่พยายามอะไรเลย ไม่ยอมเขียนจดหมายไปสมัครงาน แล้วบริษัทห้างร้านต่างๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า มีคุณอยู่ในโลกหรือจะติดต่อกับคุณอย่างไร
5. ทำสิ่งใดก็ควรรู้จริงในสิ่งนั้น อย่ารู้แบบเป็ด เพราะคนที่คู่ควรกับความสำเร็จ ต้องฝึกฝนจนมีทักษะสุดยอด ในงานที่ทำถึงจะถูก
6. อย่าท้อถอยง่ายๆ บอกตั้งแต่ต้นแล้วไงว่า ของแบบนี้ทำได้ยาก ต้องเผื่อใจไว้ด้วย
7. อย่าชักช้า ลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจเสียแต่บัดนี้ หากโอ้เอ้คงได้หรอก ความสำเร็จน่ะ